ประวัติการอนุรักษ์
ภายหลังจากอาณาจักรกัมพูชาเสื่อมลงในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นเหตุให้ศาสนสถานอิทธิพลวัฒนธรรมของขอมเสื่อมโทรม ถูกทอดทิ้งให้รกร้าง เช่นเดียวกับปราสาทเมืองต่ำที่ถูกทิ้งร้างไปเป็นระยะเวลายาวนาน
จนกระทั่งถึงสมัยล่าอาณานิคม นักสำรวจและนักวิชาการชาวฝรั่งเศส ได้บันทึกการสำรวจ ดินแดน และร่องรอยของศาสนสถานต่างๆ ไว้ ชื่อ “ปราสาทเมืองต่ำ” ได้ปรากฏในรายงานการสำรวจ เมื่อปี พุทธศักราช 2444 และ พุทธศักราช 2450 ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับชื่อบ้านนามเมืองว่า ชื่อ “เมืองต่ำ” อาจจะกำหนดเรียกโดยเปรียบเทียบสภาพที่ตั้งกับปราสาทพนมรุ้งซึ่งอยู่บนยอดเขา
ปี คริสต์ศักราช 1910 จากหนังสือ Le Cambodge Tome II ผู้เขียนคือ Aymonier, E. หน้า 131 กล่าวว่า
“ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองประโคนชัย 2 – 3 โยชน์ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และจากเขาพนมรุ้ง 1 โยชน์ ไปทางใต้ จากเขาพนมได (Phnom Dei) (เขาปลายบัดปัจจุบัน) 1 โยชน์ทางทิศตะวันออก ชื่อเมืองต่ำนี้เป็นภาษาไทย ดูจะเป็นกรณีไม่ปกติสำหรับท้องที่ที่ชาวบ้านพูดเขมรตรงกับคำว่า NOKOR TEAP หรือ BANTEAI TEAP อาจเป็นเพราะชื่อนี้ถูกเรียกโดยฝั่งตรงข้ามอย่างดูถูกที่อาจอาศัยอยู่ที่เมืองสูงใกล้พนมรุ้ง ก่อนอื่นที่เราจะพบกับบารายขนาดใหญ่เรียกว่า ละหาน หรือ ทะเล ที่ไม่ได้ถูกขุดขึ้นทางทิศตะวันออก แต่กลับเป็นทางทิศเหนือ วัดขนาดได้ 550 x 1,200 เมตร มีขอบเป็นคันดินยกสูงโดยรอบกว้าง 40 เมตร ลำธารที่พักจะแห้งในหน้าแล้งไหลมาจากพนมได เข้าสู่บารายที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือและไหลออกไปอีกครั้งที่มุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงมีประตูน้ำที่เป็นตัวควบคุมระดับของน้ำ หรือแม้แต่ใช้ปล่อยน้ำออกเพื่อให้จับปลาได้ง่ายขึ้น
ด้วยระยะ 100 เมตร ไปทางใต้ของบารายเป็นที่ตั้งของโบราณสถานที่เรียกในปัจจุบันว่าเมือง หรือ กำแพง มีต้นไม้จำพวกมะม่วง มะพร้าวขึ้นอยู่ แสดงถึงการเคยเป็นที่ตั้งของชุมชนเมื่อประมาณ 1 หรือ 2 ชั่วอายุคนมาแล้ว แต่ในปัจจุบันปรากฏว่ากลายเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขังและรกร้างปราศจากผู้คน กำแพงแก้วชั้นนอกเป็นศิลาแลงสูง 3 เมตร ล้อมรอบบริเวณเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 160 เมตร แนวตะวันออก – ตะวันตก และ 120 เมตรในแนวเหนือ – ใต้ เจาะช่องเป็นประตูขนาดใหญ่ตรงแกนหลักทั้งสี่ด้าน ภายในระหว่างกำแพงแก้วและศาสนสถาน เป็นที่ตั้งของสระน้ำรูปมุมฉากกว้าง 10 เมตร บุสระสี่ด้วยศิลาแลงเรียงเป็นรูปขั้นบันได มีทางเดินตามแนวแกนไปจบที่ส่วนกลางของทุกด้าน ทางเดินทางทิศเหนือมีบ่อน้ำขนาดเล็กลึก ๑ เมตร บุด้านศิลาแลง ปัจจุบันไม่มีน้ำขังอยู่
ตัวอาคารซึ่งยกระดับสูงขึ้นตั้งบนกำแพงกันดินสูง 1 เมตร รวมประตูทางเข้าขนาดใหญ่ทางด้านตะวันออก ขนาบข้างด้วยระเบียงคดที่กินพื้นที่เต็มทั้งด้าน มีประตูขนาดเล็กอีก 2 ประตู แยกอยู่ทางด้านทิศเหนือและใต้ ส่วนทางด้านตะวันตกมีเพียงบันไดทางขึ้น และปราสาทอิฐ 5 องค์ที่มีขนาดแตกต่างกัน องค์กลางผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ชาวพื้นเมืองเรียกว่าพระวิหาร ประติมากรรมมีอยู่เป็นจำนวนมากในโบราณสถานที่อยู่ในสภาพปรักหักพังเป็นส่วนใหญ่แห่งนี้”
ในปี คริสต์ศักราช 1907 จากข้อเขียนเรื่อง Inventaire Descriptif Des Monuments Du Cambodge Tome II เขียนโดย Delajonguiere,E.Lunet. มี Ernest Leroux เป็นบรรณาธิการ หน้า 215 – 238 ความว่า
"เมืองต่ำ (MOEUONG TAM) ที่เรียกเช่นนี้อาจจะเนื่องมาจากสภาพที่ตั้งเมื่อเปรียบเทียบกับปราสาทพนมรุ้ง น่าแปลกที่มีชื่อเรียกเป็นไทย ทั้งที่ตั้งอยู่ในท้องที่ที่หมู่บ้านส่วนใหญ่ยังมีชื่อเป็นเขมร แต่อย่างไรก็ไม่สำคัญขนาดเอามาพิจารณาถึงความสำคัญระหว่างสองปราสาทนี้
ปราสาทเมืองต่ำตั้งอยู่ทางใต้ของบารายใหญ่ที่โดนถมไปบางส่วนประกอบด้วย 1. กลุ่มปราสาท 2. ระเบียงคดชั้นใน 3. สระน้ำภายใน 4. กำแพงแก้วชั้นนอก
1. สิ่งก่อสร้าง 5 หลังสร้างด้วยอิฐ แผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ในแถวหน้ามีปราสาท 3 องค์เรียงกันในแนวเหนือ – ใต้ ส่วนแถวหลังมีปราสาทอีก 2 องค์ ตั้งสับหว่างอยู่ ปราสาทเหล่านี้เป็นแบบธรรมดาสามัญมากเมื่อพิจารณาจากทุกแง่ องค์กลางอยู่แถวหน้ามีขนาดใหญ่กว่าองค์อื่นๆ อาจมีมุขยื่นตรงประตูด้านหน้าสร้างอยู่บนฐานศิลาแลงที่ยกสูงกว่าองค์อื่นๆในกลุ่ม นี่คือทั้งหมดที่เห็นได้เนื่องจากอยู่ในสภาพปรักหักพัง และยังถูกแก้ไขดัดแปลงเอาวัสดุจากซากโบราณสถานไปใช้โดยคนพื้นเมือง
ส่วนประกอบของอาคารล้อมรอบ อยู่ในสภาพที่ดีกว่า มีความละเอียดลออแต่ไม่เสร็จสมบูรณ์ ทับหลังเป็นแบบธรรมดาเห็นได้ทั่วไปเป็นแบบที่ 3 มีการเล่าเรื่องดังนี้
1. องค์ทางเหนือของแถวหน้าสลักรูปพระสิวะ นางปาวตีและโคนันทิ (อุมามเหศวร)
2. องค์ทางใต้แถวหน้า เป็นรูปบุคคลไม่แน่ว่าเป็นใคร
3. องค์ทางใต้แถวหลังเป็นรูปพระพรหมทรงหงส์ (พระวรุณ)
4. องค์ทางเหนือแถวหลังเป็นรูปบุคคลไม่แน่ว่าเป็นใคร
2. ระเบียงคดชั้นใน ล้อมรอบกลุ่มปราสาท 5 องค์ ถูกสร้างขึ้นไปบางส่วน ผนังยังไม่เสร็จจนถึงชั้นที่ต่อกับโค้งประทุนที่ทำหลังคา เป็นระบบของระเบียงคดแคบๆ ด้านนอกเป็นผนังตันเต็มๆ เปิดเป็นช่องหน้าต่างจำนวนมากหันเข้าลานโล่งด้านใน ตรงกลางของระเบียงคดทั้งสี่ด้านเป็นที่ตั้งของโคปุระ มีเพียงสามด้านที่สร้างเสร็จคือด้านทิศตะวันออก ทิศเหนือ และทิศใต้ โดยด้านที่สี่เพิ่งจะเริ่มลงมือ
ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ สร้างจากศิลาทรายเหมือนกับระเบียงคดแต่มีผนังปิดล้อมเป็นห้องเฉพาะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเปิดออกสู่ทางด้านยาวทั้งสองด้าน โดยมีประตูที่ยื่นออกไปเป็นมุขที่การก่อสร้างประณีตมาก การตกแต่งทั่วไปเป็นแบบธรรมดา ทับหลังเป็นแบบที่ 3 ที่มีการดัดแปลงเล็กน้อย ปรากฏภาพบุคคลต่างๆที่ส่วนใหญ่จะระบุไม่ได้ว่า คือใคร ที่พบจะชัดเจนที่สุดก็มีเพียงที่ประตูทางทิศตะวันออก ด้านในของโคปุระตะวันออก เป็นรูปลิงเล่นกับนาค (กฤษณะปราบนาคกาลิยะ)
โบราณสถานทั้งหมดตั้งอยู่บนเนินสูงกว่าบริเวณโดยรออบ โดยได้ทำเป็น กำแพงกันดินที่มีลวดบัวประดับเป็นฐาน หน้าต่างจริงหน้าต่างหลอกมีขนาดใหญ่และประดับด้วยลูกมะหวด 7 ต้น
3. สระน้ำภายใน ระเบียงคดชั้นในถูกล้อมรอบด้วยสระน้ำรูปมุมฉากกว้างประมาณ 15 เมตร เว้นช่วงกลางของแต่ละด้านด้วยทางเดินกว้าง 10 เมตร ที่เข้าสู่โคปุระชั้นใน ทำให้แบ่งเป็นสระอยู่ตรงมุม 4 สระ ขอบสระชั้นบนทำด้วยศิลาทรายเป็นรูปลำตัวนาค ซึ่งส่วนหัวยื่นออกหรือหันเข้าสู่ส่วนมุม
4. กำแพงแก้วชั้นนอกเป็นกำแพงศิลาแลงที่มีการประดับส่วนกำแพงสูง 3.75 เมตร ล้อมรอบกลุ่มอาคารภายในเป็นผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตรงส่วนกลางแต่ละด้านเป็นที่ตั้งของโคปุระขนาดใหญ่สร้างด้วยศิลาทราย มีประตุทางเข้า 3 ประตู ทางเข้าตรงกลางผ่านห้องซึ่งเป็นรูปกากบาท จากการที่มุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน ขณะที่ห้องด้านข้างที่ยังคงติดต่อได้กับห้องกลางได้กลายเป็นทางเข้ารอง โดยที่ส่วนประตูไม่มีมุขยื่น ตัวอาคารได้รับการออกแบบในสัดส่วนที่ใหญ่โตด้วยความประณีต ทั้งในฝีมือการก่อสร้าง แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ เช่น ส่วนหลังคาซึ่งเริ่มทำ เพียงบางส่วน การประดับประดาก็ยังคงค้างไม่เสร็จหรือแม้แต่ยังไม่ได้โกลนขึ้นรูปในบางจุด
รูปด้านตะวันออกของกำแพงแก้วทิศตะวันออกเหมือนรูปแบบปกติ พื้นที่ทางด้านหน้าลดระดับลงไปทำเป็นฐานที่มีลวดบัวและบันไดทางขึ้น ส่วนมุขยื่นด้านนอกของโคปุระด้านนี้พังทลายลงหมด แต่เราอาจสามารถพบทางเดินปูพื้นหิน ประกอบเสานางเรียงต่อยาวไปทางด้านหน้า”
พุทธศักราช 2472 เริ่มมีการสำรวจโดยเจ้าหน้าชั้นสูงของไทย คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จฯ ทอดพระเนตรปราสาทเมืองต่ำในคราวเสด็จตรวจโบราณวัตถุสถานในมณฑลราชสีมา
พุทธศักราช 2478 กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานปราสาทเมืองต่ำและประกาศกำหนดขอบเขตโบราณสถานเมื่อปี พุทธศักราช 2541
พุทธศักราช 2530- 2539 กรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่งและบูรณะปราสาทเมืองต่ำ ด้วยวิธีอนัสติโลซิส พร้อมทั้งปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์และก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกจนเสร็จสมบูรณ์
พุทธศักราช 2540 กรมศิลปากรได้กราบทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดปราสาทเมืองต่ำอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2540 เนื่องในมหามงคลสมัยแห่งปีกาญจนาภิเษก ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พุทธศักราช 2539 แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
|